toolmorrow
Social and Behavior Change Communication lab
เริ่มต้นจากการวิจัย วางกลยุทธ์ ออกแบบสื่อ หรือ ออกแบบกิจกรรมเพื่อทำลายความเชื่อผิดๆ และปรับความคิด “ชุดใหม่” อย่างมีมิติผ่านกระบวนการสร้างสรรค์ให้กับกลุ่มเป้าหมายเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ พฤติกรรม และสังคมให้ดีขึ้น
ผลงานของเรา
เด็กก็คือเด็ก — Unicef
Problem
เด็กข้ามชาติกว่า 3 แสนคนไนประเทศไทยยังไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือและรักษาพยาบาลได้ตามสิทธิ์ที่เขาพึงมี
แม้ประเทศไทยจะลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) แล้วก็ตาม
Brief
ทำให้คนไทยเห็นความสำคัญของการเข้าถึงสิทธิ์การศึกษาและการรักษาพยาบาลของเด็กข้ามชาติ
Idea of Viral
ตอนเราเป็นเด็ก เราถูกสอนว่าเป็นเด็กต้องเรียนหนังสือ เติบโตมามีอาชีพการงานที่ดี ถ้าป่วยต้องรีบไปหาหมอ
แต่สิ่งเหล่านี้กลับไม่เกิดขึ้นกับเด็กข้ามชาติ เราจึงชวนทุกคนลองย้อนกลับไปมองด้วยสายตาที่บริสุทธิ์แบบเด็กอีกครั้ง
เพื่อสื่อสารว่าเรื่องราวที่แท้จริงเหล่านี้ควรเป็นแบบใด
Idea of Influencer
เราเชิญชวนผู้มีอิทธิพลทางความคิดมาร่วมบอกเล่ามุมมองของพวกเขาถึงความจำเป็นในการให้ความสำคัญกับสิทธิ์ของเด็กข้ามชาติ
“โหน่ง วงศ์ทนง” ในฐานะนักคิดนักเขียน “โอห์ม นักร้องนำวง Cocktail” พ่อของลูก “หนึ่ง จักรวาล” ผู้ที่เริ่มต้นชีวิตจากศูนย์
และ “เก่ง ธชย” ในฐานะผู้ฝ่าฟันชีวิตเพื่อก้าวสู่ความสำเร็จ
Idea of Extensive contents
มายาคติของคนไทยบางกลุ่มเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติและลูกหลานสะท้อนถึงมุมมองที่ไม่รอบด้าน
อีกทั้งประเทศไทยลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก มีข้อผูกมัดทางด้านกฎหมายในการสนับสนุนการศึกษา การรักษาพยาบาล
และสิทธิ์ต่าง ๆ ของเด็กทุกเชื้อชาติศาสนาที่อยู่บนผืนดินไทยโดยไม่แบ่งแยก
การสื่อสารด้วยข้อมูลเชิงวิชาการก็มีความจำเป็นสำหรับการขับเคลื่อนในประเด็นนี้
Idea of Engagement
เราเปิดรับอาสาสมัครเพื่อร่วมกิจกรรมลงพื้นที่กับ Friend of UNICEF เพื่อพิสูจน์ว่าไม่ว่าเด็กจะมีสัญชาติใด
สุดท้ายก็เป็นเด็กเหมือนกัน รวมถึงการสัมภาษณ์ผู้ปกครองถึงความเปลี่ยนแปลงเมื่อลูกหลานของเขา
ได้รับการศึกษาและการรักษาพยาบาลที่พวกเขาพึงได้รับ
ใครสำคัญที่สุดในชีวิตคุณ?
Problem
หลายคนคงคิดว่าใครคือคนสำคัญในชีวิต นั้นก็คือ “พ่อแม่” แต่สำหรับคนวัยทำงานหรือคนบ้างคนที่จะไม่มีเวลาว่างที่จะกลับไปหาคนที่กำลังรอ และคนที่คิดถึงคุณมากที่สุด รักคุณมากที่สุดในชีวิตของพวกเขา คนวัยทำงานส่วนมากมักจะไม่ได้กลับบ้านไปหาพ่อแม่ เพราะติดงานจากบริษัทหรืออยากที่จะหาเงินเยอะ ๆ เพื่อที่จะได้มีเงินให้พ่อแม่ได้อยู่อย่างสุขสบาย แต่จริง ๆ พ่อแม่อยากจะเจอลูกและอยากจะอยู่กับลูกให้นานที่สุด พ่อแม่คิดสบายว่าลูกเป็นคนสำคัญสำหรับเขาเสมอ ช่วยเหลืออยู่เสมอ อยู่ข้างเราเสมอ
Idea
เราได้สร้างสถานการณ์จริงขึ้นมา โดยการให้ทีมงานลองนัดเพื่อนคนหนึ่งไปสังสรรค์ต่อกันข้างนอก ก่อนที่จะนัดเพื่อนคนนี้ไปสังสรรค์ ทีมงานได้มีการโทรหาพ่อของเพื่อนคนนี้ ให้พ่อชวนลูกชายไปกินข้าว เพื่อให้เพื่อนคนนี้ตัดสินใจในการเลือกที่จะไปกับเพื่อนเพื่อสังสรรค์หรือพ่อที่กำลังรอลูกกลับมากินด้วยกัน เพื่อพิสูนจ์ว่าระหว่างเพื่อนกับพ่อแม่ใครสำคัญกว่ากัน
Result
สิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อนคนนี้เลือกที่จะไปกับเพื่อนมากกว่าพ่อหรือคนในครอบครัว ก็เพราะพ่อหรือคนในครอบครัวเจอกันเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เพื่อนกว่าจะได้เจอกันมันนานมากกว่าจะได้เจอกัน ซึ่งทำให้เห็นได้ชัดว่าคนในวัยทำงานบางส่วนมักจะไม่ได้กลับบ้านไปหาคนสำคัญ เพียงเพราะติดงานและติดเพื่อน ทำให้เวลาในครอบครัวน้อยลง
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่ facebook : toolmorrow
แม่..หนูท้อง
Problem
การพูดคุยหรือปรึกษาเรื่องเพศกับคนอื่นอาจดูเป็นเรื่องง่าย แต่ต่างจากการปรึกษาเรื่องเพศกับคนในครอบครัวที่เป็นไปได้ยาก เพราะวัยรุ่นหรือเยาวชนได้ปรึกษาเรื่องเพศกับคนในครอบครัวหรือพ่อแม่ ก็อาจจะโดนดุ โดนหาว่ามกหมุ่นในเรื่องเพศ ทำให้เด็กไม่กล้าที่จะเข้าไปปรึกษากับคนในครอบครัวด้วยหลาย ๆ ปัจจัย ทั้งทางด้านมุมมอง ความคิดของเด็ก เพราะเด็กอาจจะกลัวเมื่อไปปรึกษาแล้วจะโดนดุ หรืออายไม่กล้าที่จะเข้าไปปรึกษาเรื่องเพศเพราะเป็นสิ่งที่พูดคุยกันได้ยาก
Idea
เราได้สร้างสถานะการณ์ระหว่างแม่กับลูก โดยทางเราได้มีการเตรียมการลูกสาวของครอบครัวนี้ ซึ่งลองให้ลูกสาวบอกตัวเองว่าท้องกับแม่ เพื่อดูปฏิกิริยาของแม่ว่าเป็นอย่างไร ว่าแม่จะให้คำปรึกษาหรือให้คำตอบแบบไหน และพิสูจน์ว่าเป็นแบบที่เด็กคิดหรือไม่ ว่าแม่จะดุหรืออยู่ข้าง ๆ ลูกเสมอ
Result
สิ่งที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์คุณแม่ให้คำปรึกษา ค่อยเป็นห่วงเป็นใยลูกอยู่เสมอ รักลูกโดยไม่มีเงื่อนไข ถึงลูกจะบอกแม่ว่าตนเองท้อง การปรึกษาเรื่องเพศในครอบครัวไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว แต่เป็นเรื่องที่วัยรุ่นอย่างเราที่จะต้องปรึกษาพ่อแม่หรือคนในครอบครัวจะดีที่สุด กว่าการไปปรึกษากับคนอื่น หรือเพื่อนก็ตาม
facebook : toolmoorrow
twitter : toolmorrow
ปรึกษาเรื่องเพศกับพ่อ
Problem
การศึกษาในเรื่องเพศศึกษาหรือสุขศึกษาในปัจจุบันอาจมีเนื้อหาที่ครบถ้วน แต่ตัวนักเรียนนักศึกษาที่ยังขาดประสบการณ์ขาดการปรึกษาในเรื่องเพศ ถ้าไม่มีประสบการณ์ที่ดีพอ ควรได้รับคำปรึกษาที่ดี แล้วเราจะหาคำปรึกษาจากใครได้บ้าง ? จริง ๆ แล้วการปรึกษาเรื่องเพศสามารถที่จะปรึกษากับพ่อแม่ได้ แต่ลูกอาจไม่กล้าที่จะถามหรือมาปรึกษาเรื่องเพศกับพ่อแม่ ด้วยความอาย กลัวพ่อแม่ว่า จึงไม่กล้าที่จะพูดคุยเรื่องเพศกับคนในครอบครัว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาในอนาคตของลูกหรือบุตรหลานของท่านได้ ปัญหาที่จะตามมาได้แก่ เช่น โรคเอดส์ HIV ท้องก่อนวัยอันควร
Idea
เราได้คิดหาไอเดียและพัฒนาต่อยอดหาทางออกในการหาคำตอบกับเรื่องเพศศึกษา ซึ่งเราได้ทดสอบกับครอบครัวแห่งหนึ่ง ได้ให้เด็กผู้ชายหรือลูกชายของครอบครัวนั้น ได้ลองไปปรึกษาเรื่องเพศกับพ่อของตนเองดู เพื่อดูปฏิกิริยาของพ่อว่าเป็นอย่างไร เมื่อลูกมาปรึกษาหรือถามเรื่องเพศ
Result
เห็นได้ว่าพ่อพร้อมที่จะให้คำตอบลูกอยู่เสมอ หลังจากถ่ายทำวิดีโอเสร็จได้สัมภาษณ์คุณพ่อเรื่องลูกปรึกษาเรื่องเพศ ซึ่งคุณพ่อก็เห็นด้วยกับการที่ลูกมาปรึกษาเรื่องเพศกับพ่อแม่หรือผู้ปกครอง และมันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด พร้อมกับสร้างความเชื่อมั่นใจ ในการเข้าไปปรึกษากับคนในครอบครัวมากกว่าคนนอก
ความรุนแรงในเด็ก
Problem
ในปัจจุบันความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับตัวเด็กล้วนมาจากสังคม ครอบครัว สิ่งแวดล้อม แนวคิด และวัฒนธรรมที่เป็นมาอย่างยาวนาน ล้วนเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวเด็ก ทำให้เด็ก ไม่มีความปลอดภัยเป็นอย่างมาก ในสังคมผู้คนบางส่วนอาจเห็นพ่อแม่ทำร้ายเด็ก แต่ไม่อาจเข้าไปช่วยอะไรเด็กได้ เพราะคิดว่าเขาเป็นเพียงคนนอกถ้าเข้าไปยุ่งก็หาว่า “ไม่ใช่เรื่องของคุณ” ซึ่งไม่มีการแก้ไขแต่อย่างไร จึงเป็นปัญหาในอดีตจนถึงปัจจุบัน และอาจส่งไปถึงอนาคตคน จนในปัจจุบันนี้มีจำนวนเด็กนับแสนรายที่ถูกทำร้าย
Idea
เราได้ลองสร้างสถานการณ์ ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่มีพ่อและลูกสาว ซึ่งทางเราได้ให้ลูกสาวออกมาช่วยพ่อทำงานเก็บจาน เสริฟน้ํา เสริฟอาหารให้กับลูกค้า พ่อก็ตะโกนเรียกลูกบอกให้ลูกไปทำการบ้านไปอ่านหนังสือ พร้อมกับการทำร้ายร่างกายลูกและว่าลูกของตน เพื่อดูปฏิกิริยาคนแถว ๆ นั้นว่าเขามีพฤติกรรมหรือการตอบสนองกับสถานการณ์ที่เกิดอย่างไร เพื่อทดสอบสังคมว่าเมื่อเจอเด็กที่โดนทำร้ายคุณจะมีวิธีการช่วยเหลืออย่างไร
Result
คนในเหตุการณ์รู้สึกเป็นห่วงเด็กที่ถูกทำร้ายเป็นอย่างมาก แต่กับไม่สามารถที่จะเข้าไปช่วยเหลืออะไรได้ ไม่แน่ใจจะยื่นมือไปช่วยอย่างไร ถ้าเข้าไปช่วยหรือไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับครอบครัวคนอื่นจะโดนหาว่าไม่ใช่เรื่องของคุณ ซึ่งคนในสังคมยังมีความกังวนในเรื่องที่จะช่วยเด็กเป็นอย่างมาก ไม่อาจก้าวก่ายเข้าไปช่วยอะไรได้เลย สิ่งเดียวที่คนในสังคมทำได้คือการโทรแจ้งตำรวจ
ให้โอกาสได้กี่ครั้ง?
Problem
ในวันที่คุณมีโอกาสได้เป็นครู ซึ่งมีภาระงานหนักหน่วงที่ต้องดูแลเด็กนับร้อยชีวิต ถ้านักเรียนคนหนึ่งของคุณทำผิดซ้ำซากไม่จบสิ้น คุณจะให้โอกาสเขาได้แก้ตัวกี่ครั้ง?
Idea
เราได้พิสูจน์ให้เห็นว่า “ครูที่ดี” ไม่ว่าศิษย์จะทำผิดสักกี่ครั้งก็เข้าใจ ให้โอกาส มองเห็นคุณค่าและศักยภาพของศิษย์เสมอ เหมือนกับครูจิรัฏฎ์ ครูผู้ได้รับรางวัลเจ้าฟ้ามหาจักรี
Our Clients









WEEKLY UPDATES
ครูไทยเป็นหนี้กว่า 1 ล้านล้านบาท
จากคดี ผอ.กอล์ฟ สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาทางด้านการเงินของวิชาชีพของคุณครูที่มีรายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย ร่วมไปถึงปัญหาทางด้านวินัยทางการเงินจนก่อเกิดการกู้หนี้ยืมสิ้น
ครูไทยเป็นหนี้กว่า 1,100,000,000,000 บาท (หนึ่งล้านล้านบาท)
หนี้ของครูไทยตอนนี้คิดเป็น 16% ของหนี้ประเทศ และจากสถิติพบว่าครูประมาณ 4 แสนคน ซึ่งคิดเป็น 80% ของครูทั่วประเทศ มีหนี้สินเฉลี่ยคนละ 3 ล้านบาท โดย 1.1 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นหนี้ ชพค. 4 แสนล้านบาท หนี้สหกรณ์ครู 7 แสนล้านบาท แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ครูไทยเป็นหนี้เพิ่มสูงขึ้น
สาเหตุว่าทำไมครูไทยถึงเป็นหนี้เยอะขนาดนี้
เพราะมาจากรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย ซึ่งเกี่ยวเนื่องไปถึงการขาดวินัยทางการเงิน ไหนจะภาระครอบครัวอีก ทำให้คุณครูต้องเลือกที่จะกู้เงิน เพื่อนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ยิ่งเป็นครูต่างจังหวัดก็ต้องอยากจะมีรถไปทำงาน มีบ้านดีดีสักหลังให้พ่อแม่อยู่เพื่อจะได้อยู่ใกล้ชิดท่าน และในยุคปัจจุบันนี้สามารถที่จะเข้าถึงแหล่งกู้เงินได้อย่างไม่ยาก ทำได้ง่ายและรวดเร็วมากแต่ก่อน จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้คนไทยเป็นหนี้
เป็นหนี้แล้วควรทำอย่างไร
1.เริ่มต้นที่ตัวเราเอง รู้จักที่จะเพิ่มรายได้ หาอาชีพเสริม ทำงานมากขึ้น อาจจะขายทรัพย์สินที่ไม่จำเป็นออกไปเพื่อนำเงินไปจ่ายหนี้
2.นอกจากเพิ่มรายได้แล้วก็ต้องลดรายจ่ายตามด้วย เริ่มจากการลดรายจ่ายที่ฟุ่มเฟือยและไม่จำเป็น เริ่มทำสมุดรายรับรายจ่าย เพื่อบริหารจัดการเงินได้ดีขึ้น
3.ออมก่อนใช้ เมื่อรายได้เข้าให้หักเงินเพื่อไปออมตามแต่กำลัง จะ 10% หรือ 20% ก็ดี เงินออมส่วนนี้จะเป็นเงินที่จะหยิบออกมาใช้ได้ในยามฉุกเฉิน แก้การกลับไปกู้และเป็นหนี้อีกครั้ง
ลองมาดูบุคคลตัวอย่าง ผอ.เสน่ห์ ที่เป็นตัวอย่างในการปลดหนี้ของตนเองได้ ในรายการ 4 สมการหนี้ ด้าน ชุด ปลดหนี้
ผอ.เสน่ห์ เป็นหนี้เพราะความไม่รู้ เมื่อลูกต้องการใช้เงินหรือมีปัญหาที่จำเป็นต้องใช้เงินจริง ๆ ก็จะไปขอร้องคุณครูมาช่วยค้ำประกันในการกู้เงินของสหกรณ์ออมทรัพย์ครู 1 คนต่อ 1 แสนบาท จึงเกิดเป็นหนี้ที่สะสมกันมาอย่างยาวนาน ทางศูนย์สถานศึกษาพอเพียง มูลนิธิยุวสถิรคุณ ได้มีโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตร “ครูพอเพียง ปลอดหนี้ ชีวีสมดุล” ได้ส่งวิทยากรมาให้ความรู้เรื่องวินัยทางการเงินใช้เวลาอบรม 5 ครั้ง หลังจากที่ ผอ.เสน่ห์ ได้รับการอบรมจากโครงการแล้ว อีกทั้งยังบอกเรื่องที่ตนเองเป็นหนี้ให้กับลูกได้รับฟัง เพราะอยากให้ลูกมาช่วยแบ่งเบาภาระ ให้ปลดหนี้ได้ไวขึ้นและ ผอ.เสน่ห์ ได้ติดสินใจลาออกจากกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ เมื่อลาออกจะได้เงินมาหนึ่งก้อน เมื่อลูกชายเรียนจบแล้วเงินที่เคยส่งให้ลูกชายก็ไม่ต้องส่งแล้วก็สามารถนำเงินตรงนี้ไปจ่ายเงินต้นเพิ่มได้อีก ก็เลยทำให้การชำระหนี้จาก 9 ปี เหลือเพียง 11 เดือน โดยการปิดเงินต้นให้หมดก่อนเพื่อจะทำให้ลดดอกเบี้ยน้อยลงที่สุด
.
อ้างอิง
https://www.matichon.co.th/education/news_1893622
https://wealthmeup.com/news-debt/
https://www.youtube.com/watch?v=hwbai_y3jxI&t=101s
ความคาดหวังของพ่อแม่กับเส้นทางชีวิตที่ลูกเลือกเอง
น.ส.ภัทรา สุดสาคร นักจิตวิทยาคลินิก กล่าวว่า เป็นธรรมดาที่คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ ท่านมักจะคาดหวังกับลูก อยากให้ลูกมีอนาคตที่ดี มีอาชีพการงานที่มั่นคง พ่อแม่มักจะหยิบยื่นสิ่งที่คิดว่าดีให้ลูกอยู่เสมอ ซึ่งสิ่งที่พ่อแม่ทำไป ไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิดแต่อย่างใด ทุกคนสามารถมีความคาดหวังได้ แต่จะดีกว่าไหม ถ้าเป็นความคาดหวังร่วมกัน อยากจะให้พ่อแม่ลองถามลูกบ้าง ว่าลูกสนใจอะไร ชอบแบบไหน มีความสุขที่ได้ทำอะไร อยากจะเป็นอะไรในอนาคต พ่อแม่สามารถบอกความต้องการและการแนะนำของตนเองได้ เพื่อเป็นข้อมูลในการช่วยตัดสินใจ แล้วค่อย ๆ นำมาพิจารณาร่วมกันภายใต้ปัจจัยที่เป็นไปได้ แต่ท้ายที่สุดอาจจะต้องเคารพการตัดสินใจของลูก เพื่อให้เค้าเรียนรู้ในการเติบโตเป็นผู้ใหญ่
“ บางครอบครัวที่มีลูกเพียงคนเดียว มักถูกคาดหวังสูงมากและความคาดหวังอาจกลายเป็นการบังคับเส้นทางของลูก ”
ครอบครัวบางครอบครัวที่มีลูกเพียงคนเดียวในบ้าน จะถูกคาดหวังเป็นพิเศษอย่างมาก อาจถึงขั้นกลายเป็นการบีบบังคับเส้นทางของลูก ให้ลูกต้องทำตามในสิ่งที่พ่อแม่คาดหวัง ในสิ่งที่อยากให้ลูกเป็น เมื่อพ่อแม่ไปเจอเพื่อนบ้านหรือญาติที่มีลูกที่ประสบความสำเร็จ ที่เป็นอาชีพมีเงินเดือนสูงและมีความมั่นคง เช่น แพทย์ วิศวกร เป็นต้น จึงไม่แปลกเลยที่พ่อแม่จะต้องคาดหวังในตัวลูกอย่างมาก แม้แต่ครอบครัวที่มีลูกหลายคนก็ตาม
“ เพราะอะไรพ่อแม่ถึงคาดหวังในตัวลูกมาก ”
เพราะความเป็นห่วงและความรักลูก อยากจะให้ลูกมีอนาคตดี แต่เส้นทางที่พ่อแม่ได้เลือกไว้ให้ อาจกลายเป็นการทำร้ายลูกโดยไม่รู้ตัว เพราะการสื่อสารสำหรับพ่อแม่ ที่ดูจะเป็นห่วงและรักลูกอยู่เสมอ มันอาจเป็นความรักที่มาจากใจของพ่อแม่อย่างแท้จริง แต่สำหรับลูกบางคน อาจรู้สึกอึดอัดจากความคาดหวังนี้ ซึ่งจริง ๆ แล้วลูกต้องการความใส่ใจเป็นอย่างมาก อยากจะปรึกษา อยากจะเล่าความในใจ อยากจะบอกพ่อแม่ว่าลูกอยากเป็นสิ่งนี้ แต่ลูกก็กลัวว่าจะกลายเป็นความอกตัญญูแทน
ลูกอยากจะทำให้พ่อแม่ภูมิใจในสิ่งที่พ่อแม่ได้คาดหวังไว้ แต่หากความคาดหวังสูง ลูกก็จะต้องเป็นคนแบกรับความคาดหวังที่มากตามไปด้วย
“ลูกยอมฝืนตนเอง เพื่อให้พ่อแม่ภูมิใจ”
หากสิ่งที่พ่อแม่คาดหวัง กับสิ่งที่ลูกอยากเป็นนั้นไม่สอดคล้องกัน ลูกหลาย ๆ ครอบครัวยอมฝืนที่จะเรียนทางด้านนั้น ยอมอ่านหนังสื่อในสิ่งที่จะสอบเข้าที่พ่อแม่ได้คาดหวังไว้ แต่พอลูกสามารถสอบเข้าไปเรียนในมหาลัยและคณะนั้นได้แล้ว แต่เรียนไม่ไหว หรือไม่ชอบ ก็อาจทำให้ ต้องดรอปเรียน ย้ายคณะ หรืออาจจะเครียดจนอาจทำให้มีมีปัญหาทางด้านจิตเวชได้
“ เส้นทางที่ลูกเลือกและความเป็นไปได้อนาคตของลูก ต้องดูศักยภาพของลูก ”
คุณพ่อคุณแม่ อาจคอยช่วยลูกพิจารณาว่าเส้นทางที่ลูกเลือกนั้นจะไปรอดหรือไม่ ต้องดูทั้งทางด้านศักยภาพ ความชอบ ความถนัด และแนวโน้มการทำงานในอนาคตของสาขาที่ลูกเลือกเรียน ว่ามีความเป็นไปได้ไหมที่จะส่งลูกให้ถึงฝั่ง พ่อแม่หลาย ๆ คนก็อยากให้ลูกนั้นประสบความสำเร็จมากกว่าตัวพ่อแม่หรืออยากจะให้ลูกมีอาชีพที่สามารถดูแลคนในครอบครัวได้เป็นอย่างดี
“ บทสัมภาษณ์จากรายการเจาะใจของคุณ ธนกฤต พานิชวิทย์ หรือ คุณว่าน ที่เป็นศิลปินร้องเพลง ”
คุณว่านได้ให้สัมภาษณ์กับรายการ “เจาะใจ” ในเรื่องทางเดินชีวิตของตนเองในช่วงรอยต่อจะเข้ามหาวิทยาลัย เขาได้บอกกับแม่ว่าอยากจะเรียนคณะที่เกี่ยวกับดนตรี หลังจากที่คุยกันอยู่หลายรอบ คุณแม่ก็ยอมให้เรียน แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องได้เกรด 3 ทุกเทอม ถ้าไม่ได้เกรด 3 ทุกเทอม แสดงคุณว่านรักในอาชีพนี้ไม่จริง สุดท้ายแล้วคุณว่านก็ประสบความสำเร็จได้ทำในสิ่งที่ตนเองชอบกับงานที่ตนเองรักและยังสามารถเลี้ยงครอบครัวได้
อย่างไรก็ตาม ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคาดหวังได้ ไม่ว่าพ่อแม่หรือว่าตัวเรา แต่สิ่งหนึ่งที่จะทำให้ทั้งพ่อแม่และลูกเข้าใจกัน คือเราจำเป็นจะต้องสื่อสารกัน เปิดใจคุยกัน ในสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายคาดหวังไว้ อนาคตของคุณสามารถเลือกเองได้ว่าจะทำสิ่งไหน แต่ในสิ่งที่ลูกเลือกเส้นทางเดินของตนเองแล้ว ก็จะต้องทำมันให้เต็มที่ เพราะพ่อแม่ได้เปิดโอกาสให้คุณได้เรื่องเส้นทางของตนเองแล้ว
อ้างอิงภาพ : https://bit.ly/2sgQAZi
แม่ใช้เวลาตามหาลูกนานสามสิบปี
เรียกได้ว่าเป็นข่าวดีที่สุดในชีวิต หากแม่คนหนึ่งจะพบลูกชายของตัวเองที่หายไปนานเป็น 30 ปี มันเกิดขึ้นแล้วกับครอบครัวของนางหม่า
ย้อนกลับไปเมื่อปีพ.ศ.2532 นางหม่ากับครอบครัวประกอบด้วยสามี ลูกสาวและลูกชายชื่อเจี้ยน เจี้ยน อายุ 3 ขวบ วันหนึ่งในปีเดียวกันเจี้ยน เจี้ยนกำลังกับพี่สาวอยู่หน้าบ้านตามปกติ พ่อแม่ของเด็กชายคนนี้เลยออกไปทำธุระข้างนอกสักครู่ โดยไม่คิดว่าเมื่อกลับมาแล้วจะไม่พบลูกชายอีก
แน่นอนว่านางหม่าและสามีเสียใจที่รู้ว่าลูกชายตนเองหายไป ทั้งคู่พยายามออกตามหาทุกวิถีทางที่จะทำได้ เริ่มจาก
วิธีที่ 1 ออกไปเดินหาเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับลูกตามท้องถนนด้วยตัวเอง
วิธีที่ 2 ทำใบปลิวจำนวนพันใบเพื่อแจกจ่ายตามสถานีรถประจำทาง สถานีรถไฟและโรงพยาบาล
วิธีที่ 3 นางหม่าและสามีนำตัวอย่างดีเอ็นเอของพวกเขาไปลงทะเบียนเป็นฐานข้อมูลไว้ให้เจ้าหน้าที่ที่สถานีตำรวจ เพื่อเพิ่มโอกาสในการตามหาคนหายให้เจอได้
วันเวลาผ่านไปหลังจากที่ลองทำทั้งสองวิธีนี้ก็ยังไม่พบเบาะแสลูกชาย แม้ทั้งคู่จะพยายามอย่างหนัก นางหม่าอาศัยเวลาว่างของงานไปตามหาลูก สามีของนางหม่าก็เอาแต่โทษว่าเป็นความผิดของตัวเองที่ทำให้ลูกเล็กหายไป และสิ่งที่น่าเสียใจที่สุดในชีวิตของเขา คือ เขาเสียไปในขณะที่ยังคิดถึงลูกและรู้สึกผิดต่อลูกอยู่เต็มอก
อย่างไรก็ตาม ข่าวดีได้เกิดขึ้นแล้วในเดือนกันยายนปีพ.ศ.2562 นี่เอง นางหม่าพบลูกของตัวเองจากข้อมูลดีเอ็นเอที่เคยฝากไว้ โดยลูกของเธอตอนนี้อายุ 33 ปี และได้เปลี่ยนชื่อจากเจี้ยน เจี้ยนเป็น “ปินปิน” หลังจากอยู่ในความดูแลของครอบครัวบุญธรรมครอบครัวหนึ่ง
คำพูดที่คนเป็นแม่พูดทั้งน้ำตา เมื่อได้พบลูกชายครั้งแรกในรอบ 30 ปี คือ “ลูกชาย แม่มาแล้ว” “เจี้ยนเจี้ยน แม่เฝ้ารอวันนี้มานาน 30 ปีแล้ว”
ฝั่งลูกชายก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวเช่นกันที่ได้เจอแม่ผู้ให้กำเนิดเขาอีกครั้งพร้อมปลอบแม่ว่า “อย่าร้องไห้เลยแม่” แล้วทั้งสองก็โผเข้ากอดกันท่ามกลางญาติๆ และครอบครัวบุญธรรมของนายปินปิน
พอเห็นเรื่องราวของนางหม่าแล้วแอดก็อยากให้ใครหลายคนที่อยู่ห่างกับครอบครัวในช่วงเทศกาลนี้กลับบ้านไปใช้เวลาร่วมกันซะเหลือเกินนะครับ
ในกรณีนางหม่าแทบไม่มีทางรู้เลยว่าลูกอยู่ไหน ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะเจอ แต่สุดท้ายความพยายามตลอด 30 ปีก็ไม่ใจร้ายกับเธอเกินไป เธอได้พบกับลูกชายอีกครั้ง ในทางกลับกัน เรารู้ว่าระยะทางระหว่างเรากับบ้าน รู้ว่าเดินทางด้วยยานพาหนะอะไรที่จะทำให้ถึงที่หมายได้เร็วและปลอดภัยที่สุด เราลองเลือกกลับไปหาพวกเขาสักวันดีไหม กินข้าวร่วมกันสักหน่อยค่อยไปเคาท์ดาวน์กับเพื่อนๆ
แบบนี้ดีไหมครับ?
อ้างอิงข้อมูลและรูปภาพจาก http://bit.ly/37nI21p
ลูกคุยกับพ่อแม่อย่างสบายใจ
ถ้าอยากให้ลูกคุยกับเราอย่างสบายใจลอง ‘งด’ และ ‘ทำ’ ตามวิธีเหล่านี้ดูครับ
สิ่งที่ไม่ควรทำ
1. ตีหน้าตึง
– เพราะจะคิดว่าพ่อแม่ต้องการเวลาส่วนตัว เนื่องจากเหนื่อยเรื่องงานกลัวจะไปสร้างความรำคาญให้ หรือพอจะเข้าไปคุยพ่อแม่กลับไม่สนใจที่จะฟังจนสุดท้ายทำให้เกิดระยะห่างระหว่างพ่อแม่กับลูกโดยไม่รู้ตัว
2. เอาเรื่องลูกไปเล่าต่อ
– ไม่มีใครชอบให้ตัวเองเป็นประเด็นไปพูดในทางไม่ดีหรอก ยิ่งออกมาจากคนใกล้ตัวอย่างพ่อแม่ ยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่ดีไปใหญ่
3. บ่นขิงบ่นข่า
– การดุหรือเตือนลูกไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถ้าบ่นเรื่องที่ไม่สมควรเอามาเป็นสาระจะทำให้ลูกไม่เข้าใจและไม่อยากยุ่งด้วยได้
4. คอยจับผิด
– บางครั้งที่ลูกเล่าปัญหาของตัวเองให้พ่อแม่ฟังเพื่อต้องการคำแนะนำที่ดีและคำปลอบใจจากคนที่ไว้ใจได้ แต่ถ้าพ่อแม่คอยขัด
สิ่งที่ไม่ควรทำ
1. เล่นสนุกไปกับเด็กๆ
– ลองเปลี่ยนจากผู้ใหญ่ที่เคร่งขรึมเป็นคนชิลด์ๆ ดู เพราะเด็กๆ ชอบคนที่สนุกไปพร้อมกับเขา หากใครไม่ถนัดสายนี้ลองเริ่มต้นด้วยการทำเสียงตลกๆ อย่างขึ้นเสียงสูงตอนพูดเล่นกับเด็กๆ หรือหัดเล่นหูเล่นตาบ่อยๆ ลูกก็จะสนุกไปกับเราเอง
2. เคารพลูกในฐานะคนๆ หนึ่ง
– ไม่ว่าใครก็อยากโดนปฏิบัติด้วยสิ่งที่ดีๆ ใช่ไหม? ลูกคุณก็เช่นกัน ฉะนั้น อย่าเอาเรื่องส่วนตัวของลูกไปพูดกับคนอื่นเลย
3. ทำตัวสบายๆ และอารมณ์ดี
– เข้าใจว่าการเป็นผู้ใหญ่มีหลายเรื่องที่เราต้องคิดและจดจ่ออยู่กับมันเลยทำให้หงุดหงิดง่าย แต่ผ่อนคลายดีกว่าเมื่อใช้เวลาอยู่กับครอบครัว ลูกๆ ของเรานี่แหละจะทำให้เราดีขึ้น
4. ไม่ต้อง ‘เป๊ะ!’ ตลอดเวลา
– โดยเฉพาะเวลาที่ลูกบ่นปัญหาของเขาให้ฟัง บางครั้งคุณอาจคิดว่าเขาก็มีส่วนผิดแต่ตอนนั้นอารมณ์ของเขาไม่ได้ปกติ ถ้าคุณยิ่งจับผิดเขาอีกก็ยิ่งจะทำให้ลูกน้อยใจได้
อ้างอิงข้อมูลจาก http://bit.ly/2PVvOHK , http://bit.ly/2t4KKtK
อ้างอิงรูปภาพจาก
http://bit.ly/2SoEiIT ,<a href=”https://www.freepik.com/free-photos-vectors/people”>People photo created by jcomp – www.freepik.com</a>
พ่อแม่เป็นโรคอัลไซเมอร์
สมมติว่าวันหนึ่งพ่อจำคุณไม่ได้หรือเขาอาจจะถามคุณในคำถามเดิมซ้ำๆ วันละหลายครั้งและยังถามแบบนั้นซ้ำๆ ทุกวัน คุณคิดว่าคุณจะทำอย่างเดียวกับทั้ง 2 คนนี้ไหม? หากพ่อหรือแม่ของคุณเป็นโรคอัลไซเมอร์
“พ่อพี่เป็นถึงขั้นจำตัวเอง และพี่ไม่ได้ แต่เขาไม่เคยลืมมอบรอยยิ้มใ ห้พี่” พี่จอย
วันที่พี่รู้สึกแย่ที่สุดมั
แต่สุดท้ายพี่ก็มองว่ามันไม

“พ่อพี่ลืมบ่อยแค่ไหนแต่เป็ นเพราะโรค แต่พี่ไม่ควบคุมคำพูดเหมือน ลืมว่าพ่อก็ยังมีความรู้สึก อยู่” พี่เวย์
วันนั้นพี่อาบน้ำอยู่ พ่อก็มาเคาะประตู ครั้งแรกพี่ก็ตอบเขาว่า “มีอะไรครับพ่อ”
พ่อใช้การเคาะประตูอีกครั้ง
แต่พ่อไม่หยุด พ่อเคาะต่อ “ก๊อกๆๆ” ครั้งที่สาม สี่ ห้า พอครั้งที่หก พี่ปรี๊ดมาก ตะคอกออกไป “อะไรพ่อ!!” เขาก็เงียบไป พอพี่ออกมาเห็นเขานิ่งไปเลย
เรื่องนี้มันติดอยู่ในใจพี่

สิ่งที่ควรรู้หากคุณต้องดู แลผู้ป่วยอัลไซเมอร์
โรคอัลไซเมอร์เป็นโรคที่พบไ
สำหรับประเทศไทยเมื่อย้อนกล
1. ยอมรับให้ได้ว่าเมื่อคนใกล้
2. ตกลงกับตัวเองและคนรอบข้างว
3. อดทนกับคำพูดซ้ำๆ ของผู้ป่วยให้ได้และไม่หงุด
4. พาผู้ป่วยทำกิจกรรมฝึกความจ
5. ใส่ใจผู้ป่วยให้มากขึ้น เช่น ชวนคุย พาเที่ยว พยายามทำให้เขาได้เจออะไรแป
อ้างอิงข้อมูลจาก http://bit.ly/2t5vFIt
พ่อผู้เป็นเบื้องหลังความสำเร็จของลูก
ก่อนอื่นขอแสดงความยินดีกับน้องมิลค์ – ด.ญ.วรรรญา วรรณผ่อง เด็กสาวอายุ 12 ปี ตัวแทนประเทศไทยที่สามารถป้องกันตำแหน่งแชมป์โลกได้สำเร็จ ครองแชมป์สมัยที่ 2 ติดต่อกัน
กว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ น้องมิลค์ให้ความรักให้กับกีฬาชนิดนี้ด้วยการฝึกฝนอย่างหนักหน่วง ใช้เวลา 2 ชั่วโมงหลังเลิกเรียนเป็นอย่างน้อย รวมถึงอาวุธลับของเธอ “คุณพ่ออาวุธ” ที่พาแชมป์โลกคนนี้เข้าวงการโดรนเรซซิ่งและอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่เป็นพี่เลี้ยงและเบื้องหลังคนสำคัญให้น้องมิลค์เสมอมา พอสรุปได้ดังนี้ครับ
1. คุณพ่ออาวุธพาน้องเข้าวงการนี้ตั้งแต่ 8 ขวบ เพราะสังเกตว่าน้องชอบมองเวลาตัวเองเล่นเฮลิคอปเตอร์บังคับ เวลาพาน้องไปงานแข่งเครื่องบังคับวิทยุต่างๆ น้องก็สนใจสิ่งเหล่านี้เป็นพิเศษก็เลยให้น้องมาลองบินโดรนซึ่งน้องก็เรียนรู้เร็วและทำได้ดีซะด้วย
2. พอเห็นว่าน้องมิลค์มีแวว พ่อก็เรียนรู้การเป็นโค้ชที่ดีและออกแบบการฝึกทักษะและการซ้อมบินโดรนต่างๆ ด้วยตัวเอง เวลาฝึกฝนเพียง 2 เดือน น้องมิลค์ลงแข่งรายการชิงแชมป์ประเทศไทย ผลปรากฏว่าเธอสามารถคว้าแชมป์ได้ทันที
3. ลงทุนซื้ออุปกรณ์บินโดรนราคาเกือบแสนบาทไทยให้น้องมิลค์เพื่อให้ได้มาตรฐานในการแข่งขัน
4. พาน้องมิลค์ฝึกซ้อมทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2 ชั่วโมงหลังน้องเลิกเรียน แม้ในช่วงแรกจะฝึกฝนได้ยากและเหนื่อยเพราะยังไม่มีใบขออนุญาตบินโดรนจึงต้องหลบๆ ซ่อนๆ
5. อยู่เคียงข้างน้องทุกแมชท์การแข่งขัน ไม่ว่าน้องจะลงแข่งขันรายการอะไรก็จะเห็นคุณพ่ออยู่ด้วยกันเสมอ อย่างในภาพประกอบบทความนี้ใกล้เวลาแข่งขันเข้าทุกทีแต่คุณพ่อก็ยังคงอยู่ข้างๆ ลูกจัดระเบียบอุปกรณ์ให้น้องมิลค์จนสุดท้ายน้องก็ป้องกันแชมป์สมัยที่สองได้ในที่สุด
ภาพความประทับใจของพ่อลูกคู่นี้ยังไม่หมด มาชมความน่ารักของทั้งคู่ได้ที่ภาพต่อไปได้เลยครับ
อ้างอิงข้อมูลจาก http://bit.ly/2EnHOuJ, http://bit.ly/34lwJ85, http://bit.ly/2M1wl8C
อ้างอิงรูปภาพจาก https://www.youtube.com/watch?v=Uwg5hsdZsxk , http://bit.ly/38RkNi2 , http://bit.ly/38RkNi2 , http://bit.ly/38RkNi2 , http://bit.ly/38RkNi2